Category: Blog (Page 1 of 2)

ดูดไขมัน กับหมอลูกหนูดีอย่างไร

คุณหมอลูกหนู ดูดไขมัน คุณหมอคนดังที่สาวๆ ผู้ที่สนใจเรื่องของการดูดไขมันต้องรู้จักกันอย่างแน่นอน ด้วยเทคนิคการดูดไขมัน หมอลูกหนูที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่แตกต่างและดีกว่าที่อื่นๆ โดยวันนี้เราก็จะพามาดูกันว่า ดูดไขมัน หมอลูกหนู นั้นมีข้อดีและแตกต่างจากที่อื่นอย่างไร

1. เห็นผลฉับไว รวดเร็วทันใจ

การดูดไขมัน หมอลูกหนู จะทำด้วยวิธี Body Tite ซึ่งสามารถเห็นผลได้ทันทีหลังจากที่ทำ เรียกได้ว่าเห็นผลได้เร็วกว่าการดูดไขมันวิธีอื่นๆ ที่มีมา

2. ทำครั้งเดียวก็เห็นผล

การดูดไขมันโดยทั่วไปอาจจะต้องทำการรักษาซ้ำๆ จึงจะเห็นผลลัพธ์และความแตกต่างได้อย่างชัดเจน แต่การดูดไขมัน หมอลูกหนู ด้วยวิธี Body Tite สามารถสลายไขมันบริเวณพุง ท้องแขน ต้นขา สะโพก พร้อมลดเซลูไลท์ แก้ปัญหาผิวส้ม นอกจากนี้การทำ Body Tite ยังกระชับผิวไปในตัวโดยไม่ต้องซื้อคอร์สเพิ่มเลย

3. แก้ในจุดที่วิธีอื่นแก้ไม่ได้

การดูดไขมัน หมอลูกหนู ด้วยวิธี Body Tite สามารถแก้ปัญหาการดูดไขมันที่เคยมีมา นั่นก็คือ สามารถดูดไขมันในบริเวณเล็กๆ ได้ เช่น บริเวณคอ, คาง, แก้ม ทำให้รูปหน้าเรียว กระชับ

4. เป็นมากกว่าการดูดไขมัน

การดูดไขมัน หมอลูกหนู ด้วยวิธี Body Tite ไม่เพียงแต่จะกำจัดไขมันส่วนเกินออกไป แต่ยังช่วยกระตุ้น Collagen ในชั้นใต้ผิวหนังทำให้ผิวบริเวณที่ทำการรักษายกกระชับ เรียบเนียน และตึงขึ้น ในคราวเดียวกัน เรียกได้ว่าทำคราวเดียวได้ครบ จบแบบคุ้มๆ

5. ไม่ต้องเย็บแผล

เป็นอีกหนึ่งจุดที่ใครหลายๆ คนกังวลนั่นก่อนทำการดูดไขมันนั่นก็คือ เรื่องของการเย็บแผล แต่ด้วยวิธี Body Tite ของ หมอลูกหนู ดูดไขมัน ทำให้สาวๆ หมดกังวลได้เลย เพราะ ไม่ต้องเย็บแผล ไม่ต้องตัดไหม อีกทั้งยังมีอาการบวมช้ำน้อยกว่า ทำให้สามารถฟื้นตัวเร็ว

6. เสียเลือดน้อย

การดูดไขมันแบบ Body Tite จะมีเทคโนโลยี RFAL TM สามารถทำงานได้รวดเร็ว ไขมันที่ดูดออกมามีเลือดปนน้อยมากๆ เมื่อเทียบกับเทคโนโลยี อื่นๆ เพราะสามารถห้ามเลือดไปด้วยขณะทำ เพื่อลดการสูญเสียเลือด

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ ข้อดีของการดูดไขมัน แบบ Body Tite ของ หมอลูกหนู น่าสนใจใช่ไหมคะ สำหรับสาวๆ ที่สนใจ สามารถติดต่อหมอลูกหนูเพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติมได้ที่ https://marvelousclinic.com/

ออฟฟิศซินโดรม คืออะไรนะ อันตรายไหม?

วันนี้เราจะพาทุกคนมาดูโรคยอดฮิตในปี 2022 กัน นั่นคือโรคออฟฟิศซินโดรม โดยเราจะพาทุกคนมารู้จักกับ ออฟฟิศซินโดรม ให้ดีขึ้นว่าจริงๆ แล้ว เจ้าโรคนี้คืออะไร สาเหตุมาจากอะไร และจะมีวิธีการป้องกันยังไงบ้าง

ออฟฟิศซินโดรมคืออะไร

โรคออฟฟิศซินโดรม เป็น กลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อและเยื่อพังผืด (Myofascial Pain Syndrome) และอาการปวดที่เกิดจากการอักเสบของเนื้อเยื่อและเอ็น (Tendinitis) รวมไปถึงอาการปวด ชา จากปลายประสาทที่ถูกกดทับ ซึ่งอาการเหล่านี้ ส่งผลกระทบต่อการทำงานและการใช้ชีวิตของผู้ป่วยเป็นอย่างมาก โดยมากอาการเหล่านี้มักจะเกิดกับกลุ่มพนักงานออฟฟิศ จึงเป็นที่มาของชื่อเรียกทึ่คุ้นหูกันว่า ออฟฟิศซินโดรม

สาเหตุการเกิดออฟฟิศซินโดรม

ซึ่งสาเหตุของออฟฟิศซินโดรมนั้น เกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น ท่าทางการทำงาน (Poster) ที่ไม่ถูกต้อง อาทิ ลักษณะท่านั่งทำงาน การวางมือ ศอก ลงบนโต๊ะทำงาน หรือการนั่งเขียนงานหรือพิมพ์งานนานๆ

รวมไปถึง อาการบาดเจ็บจากที่เกิดจากงานซ้ำๆ (Cumulative Trauma Disorders) หรือระยะเวลาในการทำงานที่มากเกินไป ทำให้ร่างกายเกิดการล้า เช่น การใช้ข้อมือซ้ำๆ ในการใช้เมาส์ อาจทำให้เกิดการอักเสบของเอ็นบริเวณข้อมือ หรือพังผืดเส้นประสาทบริเวณข้อมือได้

แม้ตัวโรคออฟฟิศซินโดรมเองจะไม่ได้ร้ายแรงอะไร เพียงแค่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน แต่ออฟฟิศซินโดรมนั้น เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคร้ายแรงต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท โรคกระดูกสันหลังคด โรคแขนขาอ่อนแรง และในกรณีรุนแรงมากอาจทำให้กล้ามเนื้อหด ยึด ตึง

นอกจากนี้สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคอ้วน โรคความดันโลหิตสูงหากเกิดโรคเหล่านี้ และไม่สามารถทำการรักษาให้หายได้ด้วยการทำกายภาพบำบัด ผู้ป่วยจะต้องรักษาด้วยการผ่าตัด ซึ่งเป็นทางเลือกที่ไม่ค่อยอยากมีใครอยากเลือกเท่าไหร่นัก เพราะทางเลือกที่จะต้องผ่าตัดนั้น เรียกได้ว่า เป็นทางเลือกที่มีความเสี่ยงสูง อีกทั้งยังอาจเสียทั้งเงินทั้งเวลา

วิธีการป้องกันออฟฟิศซินโดรม

วิธีป้องกันการเกิดออฟฟิศซินโดรมง่ายๆ คือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเราเอง ไม่ว่าจะเป็น การปรับโต๊ะเก้าอี้ให้เหมาะกับสรีระของตนเอง พยายามเปลี่ยนอิริยาบทบ่อยๆ ไม่นั่งท่าเดิมนานๆ รู้จักพักสายตา มองสิ่งอื่นให้ผ่อนคลาย ลดการใช้โทรศัพท์เป็นเวลานานๆ และที่สำคัญอย่าลืมออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง เพียงเท่านี้เราก็จะห่างไกลจาก โรคออฟฟิศซินโดรมได้แล้ว

รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ออฟฟิศซินโดรม คลิก >> https://www.rehabcareclinic.com/ปวดคอบ่าเรื้อรัง-ออฟฟิศซินโดรม

ทำความสะอาดแหวนทองคำอย่างไรให้ดูสวยใสเหมือนวันแรกที่ซื้อมา

แหวนทองคำ หนึ่งในทองรูปพรรณที่ได้รับความนิยมของคนไทยมาอย่างยาวนาน ด้วยความสวย เด่น เป็นเอกลักษณ์ของเครื่องประดับทอง มีมูลค่าและมีความหมายที่ดีในตัวของแหวนทองคำ อีกทั้งในบางครั้งยังช่วยเสริมดวงชะตาชีวิตในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เรียกโชคเรียกลาภให้ผู้สวมใส่ เสริมดวงการงาน หรือเสริมดวงความรักให้ผู้สวมใส่ เป็นต้น

นอกจากนี้ที่สำคัญ คือ เครื่องประดับก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้สวมใส่ แต่หากเครื่องประดับทองคำที่สวมใส่อยู่ดูหมอง ดูไม่แวววาว ก็อาจสร้างความไม่มั่นใจให้แก่ผู้สวมใส่ได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น เราจะขอแนะนำวิธีทำความสะอาดแหวนทองคำให้กลับมาดูสวย ดูใหม่ เหมือนวันแรกที่ซื้อมาจากร้านทองรูปพรรณ เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการใส่แหวนทองคำให้แก่คนที่กำลังประสบปัญหาเช่นนี้

วิธีทำความสะอาดแหวนทองคำให้กลับมาดูสวย ใหม่ แวววาว เหมือนเพิ่งซื้อจากร้านทองรูปพรรณ

  1. แปรงสีฟัน และ ยาสีฟัน – ยาสีฟันเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ช่วยขจัดคราบสิ่งสกปรกบนแหวนทองคำได้ และยังช่วยให้เงางามยิ่งขึ้น โดยวิธีทำความสะอาด ให้บีบยาสีฟันปริมาณพอดีกับแปรงสีฟัน นำไปขัดเบาๆ ลงบนตัวแหวนทอง จากนั้นให้ล้างด้วยน้ำสะอาด แนะนำให้เลือกใช้แปรงสีฟันที่มีขนอ่อนนุ่มเพื่อความเสี่ยงในการเกิดความเสียหายกับแหวนทองคำ
  2. น้ำต้มเดือด – นำแหวนทองคำไปจุ่มใน น้ำต้มเดือดเพื่อให้คราบสกปรกหลุดออกไป เมื่อหลุดออกไปแล้วค่อยใช้น้ำผสมสบู่หรือน้ำผสมแอมโมเนียทำความสะอาดอีกรอบ เท่านี้ก็กลับมาสวยเหมือนเดิมแล้ว ข้อควรระวัง คือ ไม่แนะนำให้ใช้วิธีนี้กับแหวนทองคำที่มีอัญมณีติดอยู่
  3. น้ำมะนาว – บีบน้ำมะนาวใส่ถ้วยเอาไว้พอให้ท่วมแหวนทองคำของเรา จากนั้นให้นำเอาแหวนทองแช่ลงไปในถ้วยน้ำมะนาวประมาณ 1 คืน แล้วจึงนำมาล้างออกด้วยน้ำสะอาด เช็ดให้แห้งพร้อมทั้งใช้แป้งเด็กโรยลงบนเครื่องทอง
  4. น้ำมะขาม –  ใช้น้ำมะขามเปียกทำความสะอาดทอง ด้วยวิธีดังต่อไปนี้ นำมะขามเปียกมาผสมน้ำอุ่น คั้นจนได้น้ำมะขามเปียกออกมา ให้เหลือแค่น้ำมะขามเปียกเท่านั้น หลังจากนั้นจึงเอา แหวนทองคำ แช่ลงไปในน้ำมะขามเปียกประมาณ 5 นาที แล้วใช้น้ำเปล่าล้างทำความสะอาดอีกรอบนึง จากนั้นให้ใช้ผ้าขนหนูมาขัดอีกรอบ
  5. เบกกิ้งโซดา – นำผงเบกกิ้งโซดาประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ ผสมเข้ากันกับน้ำอุ่นประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากันจนเหนียวข้นดี สามารถเติมน้ำอุ่นลงไปได้เพื่อให้ได้ความเหนียวและข้นที่พอดี จากนั้นจึงนำมาถูลงบนแหวนทองคำ และ ใช้แปรงสีฟันในการช่วยขัดทำความสะอาด ปล่อยทิ้งไว้แล้วรออีกประมาณ 2 นาที หลังจากนั้นให้ล้างด้วยน้ำสะอาดจนเบกกิ้งโซดาหมดจากแหวนทองคำ

อาการไหล่ติดสัญญาณเตือนอันตรายที่อาจเกิดกับร่างกายคุณ

คุณเชื่อหรือไม่ว่าอาการไหล่ติด ขยับข้อไหล่ได้ไม่ถนัด มีอาการเจ็บหรือปวดเมื่อขยับข้อไหล่ เป็นอาการที่บ่งบอกถึงอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้นกับร่างกายของคุณ โดยอาการทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นเป็นอาการของโรคไหล่ติด โรคที่ทุกอาจจะคิดว่าไม่มีอะไรแค่อาการปวดเมื่อยธรรมดา แต่แท้จริงแล้วอาการไหล่ติดอันตรายกว่าที่ทุกคนคิดไว้มาก ซึ่งบทความนี้จะพาทุกคนไปดูกันว่าทำไมอาการไหล่ติดถึงมีอันตรายมาก และทำไมคนส่วนใหญ่ถึงละเลยอาการนี้กัน

อาการไหล่ติด

ไหล่ติด หรือ ข้อไหล่ติด เป็นอาการที่เกิดจากการอักเสบของถุงหุ้มข้อไหล่ที่เป็นเนื้อเยื่อเกิดการอักเสบหรือยึดติด โดยไหล่ติดเป็นหนึ่งในอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้กับผู้ที่ไม่ได้มีการใช้งานข้อไหล่เป็นเวลานาน หรือเกิดจากการได้รับอุบัติเหตุจากการฝึกซ้อมหรือเล่นกีฬา และส่วนใหญ่มักเกิดกับผู้ที่มีอายุระหว่าง 40-60 ปีขึ้นไป โดยมักจะเกิดกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย รวมไปถึงสามารถเกิดขึ้นได้กับผู้ที่มีโรคประจำตัวร้ายแรงได้อีกด้วย เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคปอด โรคหลอดเลือดในสมอง และผ็ที่เคยเข้ารับการผ่าตัดบริเวณหัวไหล่ เป็นต้น

สาเหตุที่ว่าทำไมอาการไหล่ติดถึงอันตรายมาก

อาการไหล่ติดโดยทั่วไปสามารถแบ่งได้เป็น 3 ระยะดังต่อไปนี้

  • ระยะ Freezing – เป็นระยะเริ่มแรกของอาการไหล่ติดผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บป่วยเพิ่มมากขึ้นอย่างช้าๆ เมื่อต้องมีการเคลื่อนไหวข้อไหล่ โดยส่วนใหญ่จะเป็นในช่วงเวลานอนหรือเวลากลางคืน ซึ่งผู้ป่วยจะอยู่ในระยะนี้ประมาณ 2-9 เดือน
  • ระยะ Frozen – ในระยะนี้อาการเจ็บปวดของผู้ป่วยจะค่อยๆ ลดน้อยลง แต่ความสามารถในการขยับข้อไหล่และแขนของผู้ป่วยก็ลดลงไปด้วยเนื่องจากแขนและข้อไหล่ไม่ได้ถูกใช้งานมาเป็นเวลานาน ผู้ป่วยจะอยู่ในระยะนี้ประมาณ 4-12 เดือนหลังจากระยะแรกผ่านไป
  • ระยะ Thawing – ระยะสุดท้ายเป็นระยะของการฟื้นฟู อาการยึดติดจะค่อยๆ ดีขึ้น ผู้ป่วยจะค่อยๆ กลับมาขยับและเคลื่อนไหวข้อไหล่ได้เหมือนเดิม โดยในระยะนี้มีอาการอยู่ที่ 1-3 ปี

จะเห็นได้ว่าอาการไหล่ติดในแต่ละระยะใช้เวลาในการฟื้นตัวค่อนข้างนาน จึงทำให้ส่งผลกระทบมากมายต่อชีวิต และอันตรายของโรคไหล่ติดอาจจะไม่ได้มาจากอาการของโรคโดยตรงแต่หากตอนนั้นผู้ป่วยกำลังทำกิจกรรมที่ต้องใช้แขนอยู่ก็อาจเกิดอันตรายถึงชีวิตได้ เช่น การว่ายน้ำ การดำน้ำ การขับรถ เป็นต้น

ถึงแม้ว่าอาการไหล่ติดจะหายไปเองได้แต่ก็ไม่ควรละเลยที่จะดูแลตัวเองหรือเข้ารับการรักษา เพราะหากปล่อยไว้อาการไหล่ติดที่เป็นอยู่อาจจะเกิดอาการเรื้อรังได้

อ่านเพิ่มเติมได้ที่: https://www.rehabcareclinic.com/

Tips for Finding the Best Hair Transplant in Thailand

Hair transplant has become the go-to hair loss treatment option for many people due to its effectiveness and guaranteed results. Many people also prefer hair transplants in Thailand over other options because of affordability and guaranteed safety. If you want to overcome hair loss, hair transplant Thailand might be the best option for you. 

All you must do is choose the best hair transplant clinic in Thailand to enjoy great results. Choosing the right hair transplant clinic should not be a huge issue if you know where to start. That is why PHUKETBOARDRIDERS has prepared this guide to help you find the right hair transplant in Thailand. 

Check Your Options

The best way to start your search for the best hair transplant clinic in Thailand is to check your options. Searching for many options will help you find the ideal hair transplant clinic quickly. You can discover top-rated hair transplant centers in Thailand by searching online. Alternatively, get in touch with your relatives and friends in Thailand to find the best clinic. 

Consider Location 

Although a hair transplant is not a complicated surgery, you still need to get home as soon as possible to rest and start the recovery process. As such, you ought to look at the location of the center you are considering before making up your mind. The goal is to select a hair transplant center that is close to your home or hotel. 

Confirm Accreditation 

The next thing you should do to find the ideal hair transplant center in Thailand is checking the accreditation. Accredited hair transplant clinics have qualified doctors and support staff. Moreover, such centers have state-of-the-art facilities and equipment. These centers also use the latest technology to achieve great results. This is why you should only pick an accredited hair transplant center. 

Compare Costs 

It is best to compare costs before choosing your preferred hair transplant clinic. When comparing prices, remember to factor in the entire treatment expenses. The rule of thumb is to pick a center that provides quality hair transplants. 

Final Thoughts 

Choosing the best hair transplant clinic is essential since it guarantees safety. When looking for the best center, remember to consider costs, accreditation, and location.

More Detail about Hair Transplant in Thailand, Please Visit: www.nidaskincosmetic.com/en/services/hair-services/ur-cell-hair-micro-transplant

« Older posts

© 2024 phuketboardriders

Theme by Anders NorenUp ↑